ข้อแนะนำในการปลูกเลี้ยงไม้ใบประดับในอาคาร
8.
การทำความสะอาด
เมื่อวางกระถางต้นไม้ไว้กับที่เป็นเวลานาน ๆ จะมีฝุ่นละอองต่างๆ
มาจับที่บนใบและลำต้นของต้นไม้
ฝุ่นละอองเหล่านี้นอกจากจะบดบังทำให้ต้นไม้ได้รับแสงน้อยลงแล้ว
ยังอุดตันรูหายใจของต้นไม้อีกด้วย
การหมั่นทำความสะอาดใบต้นไม้อยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่ควรปฎิบัติ
เพราะนอกจากจะทำให้ต้นไม้ดูสวยงามขึ้น
แล้วยังเป็นการกำจัดไข่ของแมลงและไรที่อยู่ตามใบอีกด้วย
ต้นไม้ที่มีใบอ่อนนุ่มอาจทำความสะอาดได้โดยการใช้ฟองน้ำที่นุ่มและซุ่มชื้นเช็ดให้ทั่ว
สำหรับต้นไม้ที่มีใบเป็นขนเหมือนกำมะหยี่ก็ทำความสะอาดได้โดยการใช้แปรงที่แห้ง
มีขนนุ่มละเอียด
ปัดบนใบเพื่อความสะอาด
การใช้น้ำมันทาบนใบไม้เพื่อให้ดูเงางามและสวยขึ้นนั้น
เป็นการปฎิบัติที่ผิดเพราะจะทำให้ฝุ่นละอองจับใบไม้ได้ดีขึ้น
และอาจเกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้
9
การทำหลักให้พืชยึดเกาะ
ในขณะต้นไม้ยังมีอายุน้อย
ลำต้นจะมีความอ่อนต้ว และมีความยืดหยุ่นสูง
ดังนั้นจึงควรจะทำหลักเพื่อให้ต้นไม้ได้เกาะยึด ซึ่งจะทำให้ต้นไม้ดูสวยงามขึ้นด้วย
การเลือกแบบของหลักให้ต้นไม้ยึดเกาะจึงควรจะคำนึงถึงลักษณะของต้นไม้แต่ละชนิด
และควรมีการจัดลำต้นของต้นไม้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ดูสวยงาม
การทำหลักยึดเกาะให้ต้นไม้เวลาที่เปลี่ยนกระถางจะทำได้สะดวกเพราะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ปักหลังลงไปถูกราวของต้นไม้ขาดได้
10.การตัดแต่งกิ่ง
การปลูกไม้ในร่มบางชนิดด้องมีการตัดแต่งกิ่งในระยะเวลาที่เหมาะสม
เพื่อให้พืชชนิดนั้น ๆ
มีขนาดกระทัดรัดสวยงามเหมาะสมที่จะปลูกไว้ภายในอาคารหรือมีรูปทรงที่โปร่งตาขึ้น
กิ่งก้านมีระเบียบแบบแผนไม่ไขว้ทับกันจนเป็นเหตุให้ถูกรบกวนจากโรคและสํตรูได้ง่าย
การตัดแต่งกิ่งในจุดที่เหมาะสมจะช่วยให้ใบของพืชมีโอกาสได้รับแสงสว่าง
เพื่อนำไปใช้ในการปรุงอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้การตัดแต่งพืชบางชนิดเช่น เบญจมาศ
จะเป็นผลให้ได้ดอกไม้ที่มีคุณภาพดี การตัดแต่งกิ่งแบ่งออกเป็นวิธีใหญ่ ๆ ได้ 2 วิธี
คือ
1. การเด็ดหรือขลิบ
เป็นการตัดแต่งกิ่งขั้นต้นโดยการใช้มือหรือใช้กรรไกรขลิบยอดอ่อน การขลิบยอดอ่อนเช่น
นี้จะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตได้ เช่น
เมื่อเด็ดยอดอ่อนด้านข้างก็จะเป็นการช่วยเร่งความเจริญเติบโตทางด้านยาวของกิ่ง
2.
การตัดซอย เป็นการเลือกตัดกิ่งที่เจริญขึ้นในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
ออกจากลำต้นใหญ่ทั้งกิ่งเพื่อให้ทรงพุ่มดูโปร่งตาขึ้น
11
การรักษาความชุ่มชื้นให้ต้นไม้
ในบางครั้งเมื่อมีความจำเป็นต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัดหรือตากอากาศ 2-3
วัน และไม่มีคนทำหน้าที่ดูแลต้นไม้แทน
อาจสร้างความกังวลใจเพราะกลัวว่าเมื่อกลับมาบ้านจะพบกว่าต้นไม้เหล่านั้นจะเหี่ยวเฉาไปเสียหมด
ความกังวลใจเหล่านี้จะหมดไปได้ถ้าหากเลือกปฎิบัติตามวิธีใด วิธีหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
1. หุ้มต้นไม้ที่มีขนาดเล็กด้วยถุงโพลีธีน
หรือถงพลาสติกธรรมดาก็ได้
ไอน้ำจากการหายใจของพืชจะกลับไปสร้างความชุ่มชื้นให้กับดิน
ทำให้พืชสามารถรักษาความสดชื่นไว้ได้
2.
สอดไส้ตะเกียงผ่านรูระบายน้ำของกระถางเข้าไปในดินที่ใช้ปลูกต้นไม้
และแช่ปลายอีกข้างหนึ่งของไส้ตะเกียงลงในถาดที่มีน้ำบรรจุอยู่
3.
วางกระถางต้นไม้ไว้บนผ้าหรือฟองน้ำที่มีรูพรุนเล็ก ๆ
สามารถดูดซับน้ำได้ดีและเปิดก๊อกน้ำให้น้ำหยดลงบนผ้าหรือฟองน้ำอย่างช้างๆ
ใส้ตะเกียงภาชนะที่ใช้รองกระถางบรรจุน้ำ
12.
อันตรายจากความงาม
เนื่องจากการที่ไม้ในร่มเป็นไม้ที่ปลูกอยู่ในอาคาร
ซึ่งอาจจะเป็นสำนักงานหรือบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็ได้
ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในสำนักงานดูจะไม่ค่อยมีพิษภัยต่อคนเท่าไร
ส่วนต้นไม้ที่อยู่ในบ้านเรือนบางครั้งก็อาจเกิดเป็นพิษภัยต่อผู้อยู่อาศัยได้
โดยเฉพาะบ้านเรือนที่มีเด็ก ๆ อยู่ด้วย
13.
การสังเกตอาการผิดปรกติของไม้ประดับและการแก้ไข
กรณีที่ต้นไม้มีอาการเฉา เหลือง ไม่เจริญเติบโต
ผู้ปลูกเลี้ยงส่วนใหญ่จะสรุปว่าขาดปุ๋ย จึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้ อันที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้มีอยู่หลายประการและพอที่จะใช้พิจารณาป้องกันแก้ไขได้ดังนี้คือ
1.
ขอบใบหงิกงอลงด้านล่าง
ต่อมาก็จะแห้งและหลุดไป
สาเหตุ เพราะว่าอากาศภายในห้องหรือตัวอาคารร้อนเกินไป
การแก้ไข เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทหรือถ้าไม่มีลม
อาจใช้พัดลมช่วยเป่าก็ได้
2. ต้นไม้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
แต่กิ่งก้านไม่แข็งแรง
เปราะหักได้ง่าย
สาเหตุ เพราะว่าต้นไม้ได้รับปุ๋ยมากเกินไป
การแก้ไข ควรลดปริมาณปุ๋ยที่ใส่ลง
โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง
3.
ต้นไม้เอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
สาเหตุ เพราะต้นไม้ได้รับแสงเพียงด้านเดียว
การแก้ไข ควรทำการหมุนกระถางต้นไม้บ่อย
ๆ เพื่อให้ต้นไม้ได้รับแสงอย่างทั่วถึงกันทุกด้าน
4.
ขอบใบเริ่มเหลืองและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
พร้อมกับก้านก่อนที่กิ่งจะแห้งตายไป
สาเหตุ ต้นไม้ขาดน้ำ
เพราะรดน้ำน้อยเกินไป
การแก้ไข ควรให้น้ำอย่างเพียงพอ
และสม่ำเสมอ
5. ขอบใบเริ่มเป็นสีน้ำตาล
โคนใบเริ่มเป็นสีเหลืองแล้วหลุดร่วงไป
ต่อมาก้านก็จะเริ่มโกรํน
สาเหตุ เพราะได้รับน้ำมากเกินไป
และน้ำขังไม่ไหลผ่านเป็นเวลานาน
การแก้ไข งดการให้น้ำสักระยะหนึ่งก่อน
ถ้าน้ำยังไม่ซึมหมดไปให้ลองใช้ไม้แยงเข้าไปที่รูก้นกระถาง
เพราะบางที่ก้นกระถางอาจจุอุดตัน แต่ถ้ายังไม่หายให้เปลี่ยนดินใหม่
เพราะดินในกระถางอาจมีดินเหนียวปนอยู่มากเกินไป
น้ำไม่สามารถจะระบายออกไปได้
6. .ใบมีสีซีดไม่สดใส
และมีจุดสีเหลืองหรือสีน้ำตาลปรากฎขึ้นบนใบ
สาเหตุ เพราะต้นไม้ได้รับแสงสว่างมากเกินไป
การแก้ไข ลดการให้แสงลง
หรืออาจย้ายไปวางไว้ตรงบริเวณที่แสงสว่างส่องเข้าไปถึงน้อยลง
เพียงพอแก่
ความ
ต้องการของต้นไม้
7. กิ่ง ก้าน
ที่เกิดใหม่มีลักษณะกุดสั้นและใบมีสีซีดผิดปกติ
สาเหตุ เพราะว่าต้นไม้ได้รับแสงสว่างน้อยเกินไป
การแก้ไข ควรเพิ่มแสงสว่างให้กับต้นไม้
โดยการยกไปตั้งในที่ ๆ จะได้รับแสงเพียงพอหรืออาจเปิดไฟฟ้าให้ก็ได้
8.
ใบเริ่มเหลือง แต่กิ่งก้าน ยังเขียวอยู่ ใบช่วงล่างเริ่มร่วง
ยอดและใบที่เกิดใหม่จะหงิกงอแคระแกรน
สาเหตุ เพราะว่าต้นไม้ขาดปุ๋ย
การแก้ไข ใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้
แต่ข้อระวังคือต้องใส่ให้พอดีกับความต้องการของพืชอย่าใส่ให้มากเกินไป
เพราะจะทำให้เกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้ (ุถ้าให้ปุ๋ยเคมีโดยวิธีละลายน้ำรด
ต้องระวังอย่าให้ตกค้างอยู่ที่ใบ
เพราะจะทำให้ใบไหม้ทางที่ดีเมื่อรดเสร็จแล้วควรใช้น้ำเปล่ารดที่ใบและลำต้นอีกทีหนึ่งเพื่อชะล้างปุ๋ยที่ตกค้าง)
ความเป็นพิษจากพืชเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดย 2 ทางคือ
1.
อาการพิษต่อทางเดินอาหาร
อาการพิษของพืชเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากการับประทานเข้าไปมักเกิขึ้นกับเด็ก
ๆ เพราะความซุกซนและลักษณะสีสันที่น่าสนใจของต้นไม้เหล่านี้ มักมีดอกหรือผลที่มีสีสันสะดุดตาอาการพิษจะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่ากับชนิดของพืชและอวัยวะที่เกิดการระคายเคือง
อวัยวะเหล่านั้นเริ่มตั้งแต่ปาก ลำคอ เยื่อกระเพาะอาหารไปจนถึงเยื่อลำไส้ พืชที่ทำให้เกิดอาการพิาต่อทางเดินอาหาร
ได้แก่ สาวน้อยประแป้ง พญาช้างเผือกเสน่ห์จันทน์ขาว คูน ใบกระดาษ บอนสี พลูแฉก
พลูฉีก พลับพลึง ผลเทียนหยด บานบุรีเหลือง แพงพวยฝรั่ง พุดฝรั่ง ฝิ่นต้น สบู่แดง
ราตรี หนุมานนั่งแท่น
2.
อาการพิษต่อผิวหนัง
ที่จริงพืชพวกนี้ก็มีพิษต่อทางเดินอาหารด้วยเช่นเดียวกัน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นพืชที่มีลักษณะไม่น่าสนใจของเด็ก
ๆ จึงมักไม่ถูกกินลงไป อาการเป็ฯพิษจึงมักเกิดขึ้นจากการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจเสียมากกว่าพืฃเหล่านี้
ได้แก่ พืชที่มีหนาม เช่นกุหลาบ กระบองเพชร หรือพืชที่มีสารพิษ เช่น สลัดได ต้นคริสต์มาส
สามเหลี่ยมญี่ปุ่น โป๊ยเซียน พญาไร้ใบ
เมื่อทราบถึงชนิดของพืชที่มีพิษเช่นนี้แล้ว ก็ควรใช้ความระมัดระวังเลือกปลูกพืช
ให้เหมาะสมกับสถานที่ เพื่อเป็นการลดอันตรายจากพืชเหล่านี้ลง กล่าวคือไม่ควรปลูกพืชที่มีหนามหรือมีพิษในห้องนอนของ
เด็กหรือบริเวณที่เด็ก ๆ ชอบเล่นอยู่เป็ฯประจำ นอกจากนั้นพืชมีกลิ่นหอมหรือมีดอกทุกชนิดก็ไม่ควรจะนำมาปลูกในห้องนอนของเด็ก
ในกรณีที่มีผู้กลืนพืชที่มีพิษลงไปให้รีบทำให้อาเจียนทานยาเคลือบกระเพราะ นมหรือไข่ขาว
แล้วรีบนำส่งแพทย์เพื่อทำการล้างท้องโดยด่วน ถ้ามีผู้ถูกยางของพืชพวกสลัดไดหรือพญาไร้ใบ
และเกิดเป็นพิษขึ้น หากล้างด้วยสบู่และน้ำไม่ออก ต้องใช้แอลกอฮอล์ล้าง
=
maipradab.com
6/1 หมู่ 11 คลอง15 ศูนย์พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก 26120
E-mail : webmaster@maipradab.com
Tel.(037)332039,(01)8469556